วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ศาราชี...ที่สีชัง ( ตอนที่ 3 ความวังเวงที่...พระจุฑาธุชราชฐาน )

      ผมเดินชื่นชม...สะพานอัษฎางค์ และถ่ายรูปความสวยงามและความคลาสสิคของสะพานเก็บไว้มากพอสมควร...เมื่อผมพอใจแล้วผมก็เดินตามเส้นทางเดินภายใน พระจุฑาธุชราชฐาน จากสะพาน ไปยัง เรือนไม้ริมทะเล ที่มีสีเขียวสวยงาม
      เรือนไม้ริมทะเล สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๕ ครับ แต่ไม่ปรากฎหลักฐานชัดเจนว่าสร้างในปีใด สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเรือนพักตากอากาศของชาวต่างประเทศมาก่อน ต่อมาได้ปรับปรุงเป็นที่ประทับแรมของพระราชวงศ์ในคราวเสด็จมารักษาพระองค์ก่อนที่จะสร้าง พระจุฑาธุชราชฐาน ในพุทธศักราช ๒๔๒๕ ปัจจุบันเป็นสำนักงาน ส่วนบริการนักท่องเที่ยว และจัดแสดงนิทรรศการสถานที่น่าสนใจในเกาะสีชัง ด้วยครับ


                                                              อาคาร เรือนไม้ริมทะเล



                                           ภาพเมื่อมองจาก "เรือนไม้ริมทะเล"


                   ภายในอาคารจัดแสดงนิทรรศการ และวัตถุโบราณ สมัยรัชกาลที่ ๕




     ปัจจุบัน "เรือนไม้ริมทะเล" เป็นสำนักงานบริการนักท่องเที่ยวมี กาแฟ เครื่องบริการด้วยครับ


และอยู่ใกล้ๆ กับ เรือนไม้ริมทะเล มี ฐานพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์


                                                       ฐานพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์


หลายท่านอาจจะสงสัย ว่าทำไม พระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ ถึงเหลือแต่ฐาน แล้วตัวอาคารหายไปไหน ที่แรกที่ผมเห็นก็มีความสงสัยเช่นกันครับ แต่พอได้อ่านข้อมูลใน แผ่นพับ ที่ทาง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้ไว้ดังนี้ครับ

พระจุฑาธุชราชฐาน เป็นพระราชวังบนเกาะแห่งเดียวในประเทศไทย สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ เริ่มสร้าง อาคารที่พักต่างๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๓๒ และใช้เป็นที่ประทับแปรพระราชฐานของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์  จนกระทั่งเกิดกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส รศ.๑๑๒ ซึ่งมีกองทหารบุกขึ้นเกาะสีชังและปิดอ่าวไทย การก่อสร้างพระที่นั่งและตำหนักต่างๆ จึงยุติลง และในปี พ.ศ.๒๔๓๕ โปรดเกล้าให้รื้อถอนสิ่งก่อสร้างต่างๆไปสร้างในที่อื่น แต่นั้นมาเป็นอันเลิกพระราชวังที่เกาะสีชัง


จากข้อมูลที่ผมทำไฮไลท์ไว้ น่าจะเป็นสิ่งที่ยืนยันให้หลายท่านหายสงสัยว่า ตัวอาคารของ พระที่นั่งมันธาตุรัตนโจน์ หายไปไหน

ผมได้ผละจากการชม เรือนไม้ริมทะเล และ ฐานพระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์  และเดินลงไปตามทางเดินที่ทอดตัวยาว อยู่ริมชายหาด มีม้านั่งวางเรียงรายเป็นระยะ ผมมองเห็น พระเจดีย์อุโบสถวัดอัษฎางคนิมิตร ที่ตั้งเด่นอยู่บนเนินเขาที่สูงขึ้นไป ผมตั้งใจจะไปที่นั้น...



วันนี้ที่ผมไปเที่ยวสถานที่แห่งนี้เป็นวันศุกร์ครับ...ไม่มีนักท่องเที่ยวเลยก็ว่าได้ หรือผมมาเช้าเกินไป กลุ่มนักท่องเที่ยวยังมาไม่ถึง...
ผมเดินไป คิดไป ว่าจะไปดีหรือไม่ไปดี ทำไมมันดูวังเวงซะเหลือเกิน แต่คิดอีกที เราอุตส่าห์ข้ามน้ำ ข้ามทะเลมาเพื่อมาเที่ยว แล้วทำไมเราไม่ไปเที่ยวให้ทั่ว...หล่ะ
"โธ่...นายตำรวจคนนั้น ไม่น่าเล่าเรื่องผีที่มีลูกน้องของท่านเห็น ณ สถานที่แห่งนี้ให้ฟังเล้ย...พับผ่า"
เอาวะ!!!...เอาไงเอากัน
ผมเดินตามทางผ่าน อาคาร...ที่เรียกว่า เรือนวัฒนา ที่ใช้จัดแสดงนิทรรศการเหตุการณ์สำคัญในเกาะสีชัง สมัยรัชกาลที่ ๕ ผมเดินผ่านไป จุดมุ่งหมายของผมคือเจดีย์ ที่มองเห็น ตอนลงมาค่อยแวะชมก็ได้...


                                                                             เรือนวัฒนา


                       ทางเดินขึ้นสู่ เรือนผ่องศรี และ พระเจดีย์อุโบสถวัดอัษฎางคนิมิตร






ผมเดินขึ้นสู่บันได...และเดินตามถนนที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ ซึ่งขึ้นปกคลุม หนาครึ้มไปหมด  และมีต้นลีลาวดี ปลูกสองข้างทางเป็น ระยะ ระยะ มันเป็นบรรยากาศ วังเวง อย่างไรชอบกล แต่ผมก็ใจชื้นขึ้นบ้าง ที่ยังได้ยินเสียงนกปรอท ส่งเสียงร้องเป็นเพื่อน ทำให้ผมไม่เหงาเกินไปนัก...ผมเดินมาสักพักทางด้านซ้ายมือผมก็มองเห็นอาคารทรงกลม ผมเดินเข้าไปที่อาคารหลังนั้น อ่านดูที่ป้าย จึงทราบว่าเป็น เรือนผ่องศรี ผมเดินขึ้นไปบนอาคาร เห็นพระบรมรูปของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า และมีการจัดแสดงนิทรรศการพระราชประวัติ และ ประวัติบุคคลผู้มีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับเกาะสีชังในอดีต

                                                         ภายในเรือนผ่องศรี


ผมเดินดูรอบๆเพื่ออ่านประวัติบุคคลต่าง...ก็รู้สึกขนลุกเป็น ระยะ เหมือนกัน เพราะความเงียบ และวังเวง ได้ยินแต่เสียงแผ่นไม้ เอียดอ๊าด เวลาที่ผมเดินรอบๆ ภายในเรือน...ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมคิดไปเองนั้นแหละ... สถานะการณ์ ภายใน เรือนผ่องศรี ผ่านไปได้ด้วยดี
ผมออกมาจาก เรือนผ่องศรี กางดูแผนที่จาก แผ่นพับที่เจ้าหน้าที่ให้เมื่อตอนเข้าประตูมาเพื่อดูว่า เจดีย์ อยู่ด้านไหน เมื่อทราบแล้วผมก็ออกเดินอีกครั้ง...

                                    ทางเดินตัดขึ้นสู่ พระเจดีย์อุโบสถวัดอัษฎางคนิมิตร


ทางที่ผมเดินขึ้นไปจะผ่าน ระฆังหิน เวลาเคาะจะมีเสียงดังกังวาล เสียดายวันนั้นผมไม่ได้แวะชมจุดนี้ เพราะอาการ เปลี่ยว เปลี่ยว วังเวง ที่ผมยังมีอยู่...


                                                       พระเจดีย์วัดอัษฎางคนิมิตร


ผมเดินขึ้นมาถึง พระเจดีย์วัดอัษฎางคนิมิตร ผมยกมือไหว้อยู่ด้านนอกของเจดีย์ บอกตามตรง ผมไม่กล้าขึ้นไปข้างบนคนเดียวครับ...ถึงเป็นเวลากลางวันก็ตามเถอะ...ก็ บนนี้ไม่มีใครเลยนอกจากผมคนเดียว และต้นโพธิ์ ต้นใหญ่ที่พันผ้า สี สี ไว้...ที่แรกว่าจะเดิน ไป จุดชมวิวบนเนินเขาน้อย ที่อยู่ด้านบนขึ้นไปอีก ไม่ไปแล้วหล่ะครับ ผมขอถอยดีกว่า เอาไว้วันหน้ามากันเยอะๆ จะไปให้ดู ...วันนี้ เดินคนเดียว ลมมันเย็นนน...และวังเวงด้วยยย...


หรือใครอยากจะไปกันต่อ ไปกับ บล๊อกเกอร์ พี่พิทักษ์ เลยครับ พี่เขาไปกันหลายคน มีทั้ง บล๊อกเกอร์ พี่มะอึกและบล๊อกเกอร์ พี่มะยง ร่วมทริปสนุกมากครับ  บล๊อกเกอร์ พิทักษ์  พี่เขาเป็นเด็กเกาะสีชัง โดยกำเนิดครับ รู้ทุกซอกทุกมุม ในเกาะสีชัง เลยทีเดียว...
http://www.oknation.net/blog/jaopad/2011/05/21/entry-1  ขอขอบพระคุณบล๊อกเกอร์ พิทักษ์ มากครับ


เมื่อผมไม่ไปต่อ...ก็เลยรีบเดินจ่ำอ้าว ลงมาเลยที่เดียว...ไม่ใช่ กลัวหรอกครับ...แต่กลัวเวลาน้อยต้องไปชม ที่อื่นต่ออีก (แฮ่ะ...แฮ่ะ...)  ที่เที่ยวบนเกาะสีชังยังมีอีกมากเลยครับ ต้องทำเวลาหน่อย ตอนเย็นต้องกลับไปขายของตลาดนัดต่อ


ผมเดินมาถึง ชายหาดริมทะเล อีกครั้ง ความสดชื่น ปลอดโปล่ง ก็กับคืนมา หลังจากที่เดินในป่าเปลี่ยว วังเวงและร้อนอบอ้าวทั้งๆที่มีต้นไม้เต็มไปหมด...


เกือบลืมบอกครับ ที่ พระจุฑาธุชราชฐาน เกาะสีชัง จะติดป้ายให้ระวังต่อแตน อยู่เป็นระยะครับ สงสัยจะมีเยอะและมีคนโดนต่อย ถึงติดป้ายเต็มไปหมด


                                                                  ป้ายระวังต่อแตน




                                ชายหาดและผักบุ้งทะเล ที่ พระจุฑาธุชราชฐาน


  ป.ล.โปรดใช้ วิจารณญาณ ในการอ่านบางช่วงบางตอนของ Entry เองนะครับ เพื่อเพิ่มอัตถรสในการอ่าน... แต่ผู้เล่าขอสารภาพว่ามีความรู้สึก เช่นที่ได้เล่าจริงๆครับ...


***ขอแถมอีกนิดครับ...เมื่อผม "ชายสามหยด" ได้กลับถึงบ้าน ได้นำรูปวิว ทิวทัศน์ และอาคารต่างๆ เขต พระจุฑาธุชราชฐาน ไปอัฟลงในเฟสบุ๊ค เพื่อให้เพื่อนๆได้ชม พออัฟเสร็จ ได้มีรูปผู้หญิงหน้าตาโบราณ ไว้ผมทรงโบราณ ขึ้นมา แล้วเฟสบุ๊ค ใส่กรอบที่หน้านั้นและถามผมว่า คุณรู้จักบุคคลในภาพนี้หรือไม่ และให้ผมติดแท็ก ชื่อลงไป ...ผมเลยเรียกภรรยามาดู ผมและภรรยาขนลุกขนชัน แต่เสียดายด้วยความตื่นเต้นไม่ได้ถ่ายภาพ ภาพนั้นไว้รีบ ออกไปดูภาพ ในหน้าแรกที่อัฟลง เฟสบุ๊ค...ให้ตายเถอะโรบิ้น ...มีแต่ภาพวิว และอาคาร ไม่มีภาพหน้า บุคคลเลย...เพราะผมไม่ได้เอาภาพบุคคลลงเฟสบุ๊คในขณะนั้นเลยคร๊าบบบบ...(เล่าให้ฟังโปรดใช้วิจารณญาณเองครับ)


อย่าลืมคอยติดตามตอนต่อไปครับจะพาไปเที่่ยว...ปารีฮัช  สถานที่ ที่สวยงามที่เขาไปถ่ายทำภาพยนต์กัน


                                                          "ปารีฮัช" ในตอนต่อไป


ขอขอบคุณ เพลง"สีชัง"  ขับร้องโดย ม.ร.ว. ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น