วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555

ขอทานเขมร...บุกเมืองพัทยา

      ทุกวันนี้...เมื่่อผมออกจากบ้าน ไม่ว่าจะไปซื้อของใช้...หรือซื้อกับข้าวตามตลาด ผมต้องเจอะเจอกับแรงงานต่างด้าว มากมาย แทบจะทุกที่ใน พัทยาและศรีราชา ที่ผมไปขายของและได้สัมผัสอยู่...ทั้ง เขมร พม่า ฯลฯ เต็มไปหมด...แรงงานพม่าส่วนมากจะเข้ามารับจ้าง ขายของในตลาด เช่นขายกับข้าว ขายอาหาร หรืออยู่ตามร้านค้าอื่นๆอีกมากมาย ถ้าเห็นผู้หญิงปะแป้งเป็นวง ขาวๆ นั้นแหละครับพม่า ส่วนผู้ชายจะฟันดำหน่อยเพราะกินหมาก  ส่วนมากนายจ้างคนไทยที่ค้าขายจะจ้างแรงงานพม่าครับ ส่วนแรงงานเขมรเห็นทำงานเป็นกรรมกรหรือ จับกัง เป็นส่วนมาก ...อีกส่วนหนึ่งก็นั่งขอทานครับ
      เรื่องของขอทาน...เขมร ที่พัทยาหลายท่านอาจจะเห็นเป็นข่าวบ่อยๆเพราะเยอะจริงๆครับ...พอโดนจับหรือเจ้าหน้าที่กวดขันหน่อย...ก็หายไป ไม่นานก็กลับมานั่งขอทานอีก ...อย่างที่ตลาดนัดคลองถมพัทยา 2 (ข้างเมืองจำลอง)ที่ผมไปขายของอยู่...ผมจะสังเกตุเห็นผู้หญิงชาวเขมรอุ้มลูก จูงหลาน มานั่งขอทานตามจุดต่างๆ ทั่วทั้งตลาด ในบางครั้งผมก็ยังนึกแปลกใจที่เห็นเด็กนอนหลับนานมากไม่ยอมตื่นซักที...ก็เลยพาลนึกไปในด้านลบ...ว่าใช่ลูกของเขาเองหรือเปล่า...แล้วเอายานอนหลับให้เด็กกินหรือเปล่า...


     คน...ไทยส่วนใหญ่ที่เดินซื้อของ พอเดินผ่าน และเห็นเข้าก็เกิดความเมตตาสงสาร ที่เห็นเด็กตัวเล็กหรือคนแก่ มานั่งขอทาน ก็ทำบุญทำทานไปแบ่งปันแก่ผู้ยากไร้...ผู้เต่าผู้แก่...ลูกเด็กเล็กแดง
     ผมมารู้ทีหลัง...ว่า คนไทยใจบุญส่วนมากมีรายได้เฉลี่ยแค่ 200 บาท ต่อวัน ส่วนขอทานเขมรไม่ต้องทำอะไร...แค่เมื่อแขนพนมมือ ถือกระป๋องใบเดียวมานั่งขอทาน ก็มีรายได้ตกวันละ 500-1500 บาทต่อวัน นั่งนับเงินต่อหน้าพ่อค้าแม่ค้ากันแบบจะ จะ ซึ่งในบางครั้งพ่อค้าแม่ค้ายังไม่ได้เปิดบิลด้วยซ้ำ...ค่าที่ก็ไม่ต้องเสียแค่เดินหาทำเลเหมาะๆ...แถมยังไม่ต้องเหนื่อยกับการ ที่ต้องกางโครงเหล็กกลางแสงแดดที่ร้อน...อย่างพวกผม บางครั้งผมยังเห็นซื้ออาหารการกินดีกว่าเราซะอีก...ภาษีก็ไม่ต้องเสีย...ที่พ่อค้าแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว ขายข้าวมันไก่ มาจ้องนับชามว่าขายได้เท่าไหร่จะได้เก็บภาษีถูก...

      ก็เคยอ่านข่าวเจอหลายครั้งเหมือนกันแหละครับ ว่าเขมรเข้ามาเป็นแก๊งค์ขอทานในไทยเยอะมาก ตามหัวเมืองใหญ่ๆ ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ หรือพัทยา...พอ ตอม่อ เอ้ย...ตอมอจับก็จะโดนปรับนิดหน่อย
แล้วก็ปล่อยไป ก็เลยทำให้แก๊งค์ขอทานเขมรได้ใจ พูดปากต่อปากว่าอยู่เมืองไทยเป็นขอทานรายได้ดี...เลยทำให้เขมรข้ามชาติ โกอินเตอร์อย่างมากมายก่ายกองในปัจจุบัน...

    แต่ผมว่ามันก็อยู่ที่พวกเราคนไทยนี่แหละ ที่ใจบุญมากเกินไป ยิ่งเราทำทานให้เขามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมากันมาก และยังทำให้เขาขี้เกียจ ไม่ดิ้นรน เราถึงได้เห็นแก๊งค์ขอทานเขมรมากมายในทุกวันนี้  ซึ่งการขอทานเป็นช่องทางทำมาหากินอย่างถาวรของคนเขมรซะแล้ว  หนำซ้ำพวกเขายังมาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม แย่งที่ทำมาหากินขอขอทานไทย ซึ้งยากจน ยากไร้จริงๆ อย่างทุกวันนี้ผมก็แทบจะไม่เห็น ขอทานแบบ "ยายสำอาง" กันอีกแล้ว...


ผม...ไม่ได้ที่จะบอกว่า การทำทาน เป็นสิ่งที่ไม่ดี ...แต่การทำทานแล้วให้เขาได้รับจริงๆ เป็นสิ่งดี ไม่ใช่ไปทำทานให้แก๊งค์ ขอทานที่มีคนเป็นนายหน้าอยู่เบื้องหลัง และเก็บเอาเปอร์เซ็นต์นี่สิ...เราควรทำหรือไม่?...

คลิปขอทานเขมรโดนตำรวจท่องเที่ยวพัทยาจับ

วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555

นกเขาชวา...กับต้นมะไฟ...ในงานสังสรรค์

     ผมจำไม่ได้แล้วว่าเป็นเวลาผ่านมากี่วัน...หรือกี่อาทิตย์แล้ว หรืออาจจะเป็นเดือน...ที่มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเข้าไปกวาดใบไม้ในบริเวณสวนหน้าบ้านที่ร่วงหล่นอยู่เกลื่อนกลาดเพราะแรงลม....เมื่อผมเดินกวาดมาถึงต้นมะไฟผมก็ต้องตกใจ...เพราะมีสัตว์ปีกชนิดหนึ่งบิน...พรึบ...ตัดหน้าผมไป และบินไปเกาะอยู่บน กิ่งหว้ามองจ้องหน้าของผมไม่ยอมไปไหนเหมือนผมไปทำอะไรให้มันโกรธแค้น...หรือ ผมไปรบกวนอะไรมันสักอย่าง...ผมแหงนดูเจ้าสัตว์ปีกตัวที่ผมทำให้มันตกใจ และมันเองก็ทำให้ผมตกใจด้วย...ก็เลยรู้ว่ามันเป็น..."นกเขาชวา"...นั้นเอง

    เอ๊ะ...แล้วเจ้านกเขาชวาตัวนี้...มันมาทำอะไร อยู่บนต้นมะไฟ...ดูเหมือนว่ามันจะหวงซะด้วย...จ้องมองผมไม่ยอมไปไหน...หรือมันกำลังมาหาหนอนผีเสื้อ ที่กำลังกัดกินใบมะไฟอยู่...ผมก็สงสัยเหมือนกัน...ก็เลยค้นหาสิ่งที่เจ้า...นกเขาชวา...ตัวนี้หวง  ก็เลยไปเจอกับหญ้าแห้งวางแผ่ไว้กระจุกเล็กๆ แป๊ะ...ไว้บนง่ามของต้นมะไฟ  ซึ่งสูงจากพื้นที่ประมาณ 2 เมตรเห็นจะได้...
   "อ๋อ... เจ้ากำลังจะสร้างรังนั้นเอง...เจ้าคงสร้างยังไม่เสร็จสินะเห็นหญ้ามีอยู่นิดเดียวเอง... เอาหล่ะ...เราไม่รบกวนเจ้าแล้ว...ตามสบายนะ...เจ้าคงคิดแล้วว่าตรงนี้ปลอดภัยสำหรับเจ้า ถึงมาขออาศัยทำรัง..." ผมนึกในใจ แล้วมองขึ้นไปยังต้นหว้า ที่เจ้านกเขาชวาเกาะอยู่ ซึ่งมันกำลังจ้องมองผมด้วยสายตาระห้อย...
  "ว่าแต่...เจ้านกเขาชวา...เจ้ารู้หรือเปล่าว่าบริเวณต้นมะไฟที่เจ้ามาทำรังนั้น...เราจัดเลี้ยงสังสรรค์ อยู่เป็นประจำ แล้วเจ้าจะอยูได้หรือ...เพราะเราต้องเปิดไฟ พูดคุยสนทนากันเสียงดัง หรือในบางครั้งเรายังเผาย่างอะไรกินกันบริเวณนี้ด้วย..."


     ผม...เฝ้าแอบมองดูเจ้านกเขาชวาวางไข่อยู่บนต้นมะไฟ...ตั่งแต่ไข่ใบแรกที่เขาฟักออกมา ที่ผมเห็นว่าเขาฟักได้กี่ใบแล้ว...ก็ต้องรอจังหวะที่เขาออกจากรังบินไปหาอาหาร...แต่ก็น่าเสียดายที่ผมดันไปลบรูปภาพไข่ของเขา...ที่ผมถ่ายไว้ แล้วในตอนหลังก็ไม่มีโอกาสจะได้ถ่ายภาพ ไข่ของเขาอีกเลยเพราะเขานอนฟักไข่ของเขาไม่ยอมไหวติงไปไหนอีกเลย...
    และ...มีอยู่สองสามครั้ง...ที่ผมได้จัดเลี้ยงสังสรรค์ในกลุ่มเพื่อนฝูงและญาติพี่น้องใต้ต้นมะไฟ ที่เจ้านกเขาชวานอนฟักไข่อยู่ และมีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่เราเอา คาราโอเกะ มาร้องกัน...แต่ผมก็ได้บอกและขอเจ้านกเขาทุกครั้งว่า วันนี้มีงานเลี้ยงสังสรรค์นะ...วันที่ผมและเพื่อนเอา คาราโอเกะ มาเปิด เจ้านกเขาชวา ตกใจ บินออกจากรังในตอนกลางคืน...ผมเห็นเขาบินออกจากรังผมมีความกังวลมากว่า...เขาจะทิ้งรังไม่กลับมาอีกแล้ว...
     ภาพด้านบนนี้เป็นภาพเมื่อตอนจัดเลี้ยงสังสรรค์ในหมู่เพื่อนฝูง...จะเห็นต้นมะไฟ ที่อยู่หลังเพื่อนผมที่สวมเสื้อสีขาว และในง่ามที่สองด้านบนขวามือคือจุดที่เจ้านกเขาชวา มาทำรังอยู่แต่ในวันนี้ เขาได้บินออกจากรังผมก็นึกว่าเขาจะทิ้งรังเสียแล้ว...
     แต่...ในตอนเช้า ผมตื่นขึ้นมาดูเขาอีกครั้ง...ผมก็ต้องดีใจที่ยังเห็นเขากลับมานอนฟักไข่อีกครั้ง...หลังจากนั้นผมไม่รบกวนเขาอีกเลย...


     และก่อนวันสงกรานต์นี่เอง...นะจุดนี้ก็มีงานเลี้ยงสังสรรค์ในหมู่ญาติ เกิดขึ้นอีกครั้ง...แต่ในครั้งนี้ผมได้เห็นลูกของเขา...สองตัวได้ออกจากไข่แล้ว และครั้งนี้เจ้านกเขาน้อยก็ไม่ทิ้งลูกไปไหน นอนกกลูกมองดูเราจัดงานเลี้ยงสังสรรค์...เหมือนจะบอกว่า ขอฉลองวันครอบครัวด้วยนะ...

    จากที่ผมสังเกตุ...เจ้านกเขาชวาหลายๆอย่าง...ทำให้ผมได้รู้ว่า เขาทำรังไม่ใหญ่โต เหมือนนกชนิดอื่นที่ผมเห็นมา...เขาแค่เอาหญ้าไม่กี่กิ่งมาวางพาด พาดกันก็ใช้ได้แล้ว...และอีกอย่างเขาจะเป็นนกที่นิ่งมาก ขนาดเราเข้าไปใกล้ๆ ถ้าเขามีลูกอยู่เขาก็จะไม่บินไปไหน...แต่จะจ้องมองเราตาไม่กระพริบ...ลูกของเจ้านกเขาชวา จะไม่ร้องเสียงดังหรือแทบไม่มีเสียงเลยเวลาที่แม่ป้อนอาหาร

ผม...เห็นเจ้านกเขาชวาป้อนอาหารลูก โดยให้ลูกล้วงเข้าไปในคอเพื่อไปคาบเอาอาหาร ซึ่งจะต่างจากพวกชนิดอื่นที่ผมเห็น...คือต้องคาบอาหารอยู่ที่ปากและให้ลูกจิกได้กินได้เลย...พอป้อนเสร็จได้ไม่นานเขาก็บินออกจากรังเพื่อไปหาอาหารมาให้ลูกน้อยอีก...และได้ทิ้งลูกน้อยอยู่ในรังเพียงลำพังสองตัว...เจ้านกเขาชวา...ขยันออกหาอาหารมาให้ลูกทุกวันจน ลูกๆเติบโตแข็งแรงข้นทุกวัน...และพร้อมที่จะบินออกจากรังทุกเมื่อ...ถ้าได้ยินเสียงแม่เรียกอยู่ไกลๆ


   เจ้าลูกนกเขาชวาทั้งสอง...ยืนๆ...นอนๆ...บ้างก็ไซร้ขนรอแม่กลับมาพร้อมอาหารอีกครั้ง...ด้วยใจกระวนกระวายเพราะ...ได้ยินเสียงฟ้าร้องครืน...ครืน...อยู่ด้านบน เขาคงติดว่านั้นเสียงอะไรนะทำไมดังเหลือเกิน...แล้วทำไมแม่ยังไม่กลับมาซะที... ฝนเริ่มที่จะลงเม็ดแต่ไม่หนามากนัก แต่ฟ้าก็ยังส่งเสียงร้องทำให้ลูกนกตกใจสดุ้ง...เมื่อได้ยิน...ไม่นานก็เห็นแม่นกเขาบินกลับมาสู่รัง...
 
     ฝนเรื่มทำท่าจะตกหนักซะแล้วสิ...เพราะเสียงฟ้าคำรามใกล้เข้ามาทุกที่...แม่นกเขาชวาทำเสียงต่ำๆในลำคอเพื่อเรียกลูกๆเข้าไปซุกใต้ปีก...แต่ด้วยความที่ลูกโตเร็วมากปีกไม่สามารถที่ห่อหุ้มลูกน้อยได้อีกแล้ว...ไม่นานฝนก็เริ่มลงเม็ดหนาขึ้นเรื่อยๆ...

       แม่นกหันรีหันขวาง...ทำขนพอง...ขยับตัวเข้ามาใกล้ลูกเพื่อจะปกป้องลูกน้อยจากเม็ดฝนที่เริ่มเทลงมาเรื่อยๆ

 
แม่นกเริ่มที่จะขยับเข้ามาใกล้ๆลูกน้อยเพื่อใช้ขนของตัวเองปกป้องจากเม็ดฝนที่เริ่มตกหนักจนใบมะไฟเริ่มจะเปียกน้ำฝนแล้ว...





 
   แล้วฝนก็ตกลงมาอย่างหนักไม่ลืมหูลืมตา...จนทำให้นกเขาชวาสามแม่ลูกเปียกปอน ไปตามๆกัน...นี้คงเป็ประการณ์ครั้งแรกของลูกนกที่ได้สัมผัสกับฝน...แล้วพอฝนหยุดตกก็ทำหน้า แบบ งง...งง...ว่าเกิดอะไขึ้นเนี้ย...
   เช้าวันหนึ่ง...ก่อนที่ผมจะออกไปทำธุระ...ข้านอก ก็ได้ไปแวะเยี่ยมเยียน...ครอบครัวนกเขาเป็นปกติ...เช้านี้ เจอลูกๆ ทั้งสองตัวกำลังปีนป่ายใบมะไฟทำท่าจะกางปีกบิน...เมื่อได้ยินเสียงแม่ร้องเรียกรัว...รัว...อยู่บนสายไฟหน้าบ้าน...

   ผมยืนดูเจ้าลูกนก...เขาชวาทั้งสองตัว...และยังนึกอยู่ในใจเลยว่า อีกสักวันสองวันเจ้าทั้งสอง ก็คงจะบินออกไปหากินกับแม่ของเจ้าได้แล้ว...และก็ยังคิดว่า จะมาคอยดูเจ้าทั้งสองบินออกสู่โลกกว้าง...และจะบันทึกภาพของเจ้าในขณะกำลังจะบินออกจากรัง...วันนี้ขอออกไปธุระก่อนนะเย็นๆจะกลับมา...

   
   แต่พอกลับมาจากทำธุระในตอนเย็น...ผมก็ไม่ลืมที่จะแวะเข้าไปทักทาย...ครอบครัวนกเขาชวา...ผมก็ต้องผิดหวังเพราะเจอแต่รังที่ว่างเปล่า..."เจ้าไปโดยไม่ได้กล่าวร่ำลา...เราเลยนะ"...แล้วเจ้าจะกลับมาร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์...กับพวกเราอีกหรือเปล่า...แล้วเราจะคอย....

วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2555

เกาะล้าน...เกาะรัก..."หาดเทียน" กับความทรงจำมิอาจลืม...ตอนที่ 3

  
   "หาดเทียน"...เป็นหาดที่ผมเลือกอันดับแรกที่จะพาครอบครัวมาเล่นน้ำ...เมื่อมาเที่ยวที่ "เกาะล้าน"...เพราะเป็นหาดแรกๆ...ที่ผมมีความทรงจำ...เมื่อผมมาที่...เกาะล้าน 
   "หาดเทียน" เป็นหาดที่มีน้ำใส หาดทรายขาว สะอาด  ผู้คนไม่พลุกพล่าน มากนัก... ผมรู้จักหาดเทียนเป็นหาดแรกของเกาะล้านเลยก็ว่าได้... ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 20 กว่าปี ผมเคยตามกรุ๊ปทัวร์ ฝรั่งชาวออสเตรเลีย และกรุ๊ปทัวร์ชาวฝรั่งเศส มาที่หาดเทียน นี้เป็นประจำ เพราะตอนนั้นแม่ผมทำทัวร์อยู่ และจะพากรุ๊ปทัวร์มาทานอาหาร ที่ร้านอาหารของลุงแก่...คือ"ร้านอาหารหาดเทียน" ซึ่งเมื่อก่อนเป็นร้านอาหารริมหาดเล็กๆ ไม่ใหญ่โตมากนัก มีโต๊ะไม้ยาวๆเพื่อให้กรุ๊ปทัวร์นั่งได้ 20-30 คน ...ฝรั่งที่มายังหาดเทียนสมัยก่อน...ส่วนมากจะเป็นฝรั่ง ไฮโซ  ชาวออสเตรเลียและฝรั่งเศส ...ไม่เหมือนปัจจุบันที่มีแต่ฝรั่งชาวรัสเซีย...เป็นส่วนใหญ่
      เมื่อก่อน...ที่ผมมา"หาดเทียน"จะต้องจอดเรือใหญ่ที่ หน้า หาดตาแหวน...แล้วลงเรือกระจกเพื่อพาทัวร์ดูปะการัง จากท้องเรือกระจก ที่ใสแหน๋วส่องลงไปเห็นถึงพื้นทรายและปะการังชัดเจนเลยทีเดียว...
แล้ว...เรือกระจก หรือเรือหางถึงจะพาไปส่งที่หาดเทียนต่อไป...เมื่อก่อนแนวปะการังน้ำตื้น บริเวณเกาะล้านสมบูรณ์มาก มองเห็นฝูงปลาแหวกว่าย มากมาย...แต่ทุกวันนี้ไม่มีแล้ว น่าจะเกิดจากสภาวะโลกร้อนนั่นเอง...


                                           เตียงผ้าใบหน้าร้านของลุงแก่ คือร้านหาดเทียน


     แต่...วันนี้ผมมาหาดเทียน...โดยการขับมอเตอร์ไซด์ จากหาดตาแหวน ลัดเลาะข้ามเขาตามถนนเล็กๆที่ปูด้วยตัวหนอน...มายังหาดเทียน ได้โดยสะดวกสบาย ...หาดเทียนในวันนี้ น้ำยังใสอยู่เหมือนเดิม แต่ที่เปลี่ยนแปลงคือจำนวนร้านค้าที่เพิ่มมากขึ้น และเตียงผ้าใบจะมีจำนวนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน...
ร้านอาหาร หาดเทียน ของลุงแก่ ก็เป็นร้านสองชั้นใหญ่โต...

                          เมื่อจอดมอเตอร์ไซด์เรียบร้อยแล้วจะมีสะพานเดินไปยัง "หาดเทียน"


      ผม...เดินตามสะพานปูนที่สร้างเรียบแนวเขา...ซึ่งเมื่อก่อนไม่มี...มุ่งตรงไปยังหาดเทียนที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้า ด้วยความตื่นเต้น...ผมมองเห็นแนวต้นเทียน ที่เมื่อก่อนเป็นเพียงต้นเตี้ยๆ ไม่มีเตียงผ้าใบกลาง อยู่ใต้ต้นเทียนเหมือนปัจจุบันนี้...และมองกวาดสายตาไปยัง ร้านลุงแก่ ที่เป็นร้านใหญ่โตสองชั้น ออกแบบทรงไทย หลังคาสีฟ้า ที่อยู่กลางหาด...ที่แรกผมตั้งใจจะพาครอบครัวไปนั่งที่ร้านหาดเทียน ของลุงแก่ แต่ก็เปลี่ยนใจที่มองเห็นความร่มรื่น ของต้นเทียน ที่กางแผ่กิ่งก้านเป็นร่มเงา มีเตียงผ้าใบที่กางไว้ใต้ต้นเทียน น่านั่งมาก...จึงเลือกที่จะนั่งใต้ต้นเทียน...จ่ายค่าเตียงผ้าใบไปตัวละ 50 บาท...

                                          บริเวณใต้ต้นเทียน ที่เลือกนั่ง เพราะเห็นร่มเงาที่ร่มรื่น


     เมื่อ...จัดแจงที่นั่งพักผ่อนเรียบร้อยแล้ว...ผมก็เลยขอเดินสำรวจหาดเทียน สักหน่อยและจะได้เดินไปหาลุงแก่...ที่ร้านหาดเทียนด้วย...ผมเดินดูหาดเทียน ยังนึกภาพ ที่เรือร่มโชคอำนวย ของลุงชัย ที่มาลากร่มที่นี่ และเป็นเจ้าเดียวที่รับลากร่มของคณะทัวร์ที่เป็นฝรั่ง...ซึ่งในบางครั้งผมยังเคยนั่งเรือเร็วลากร่มของลุงชัย...มาลงที่หาดนี้เลย...




     ผม...เดินผ่านร้านของลุงแก่...มีความรู้สึกว่าใจเต้น ตึบๆ...และยังไม่กล้าเข้าไปทักเพราะกลัวว่า ลุงแก่จะจำผมไม่ได้...เพราะเวลาผ่านมาตั้ง 20 กว่าปีแล้ว...อีกอย่างตัวผมเองก็เปลี่ยนแปลงไปมากเหมือนกัน ผมยาว ไว้หนวดเครา...ถ้าเข้าไปทักคงท้าวความกันยาวแน่...อีกอย่างเดี๋ยวนี้ลุงแก่ เป็นผู้ใหญ่ที่กว้างขวางมากในเขตพัทยา...ใครๆก็รู้จัก...ผมเลยเดินผ่านไปจนสุดหาด ที่มีเรือที่สร้างเป็นบ้านพักอยู่ 2 ลำ...ยืนถ่ายรูป ได้สักพักก็เดินกลับ...เพื่อลงเล่นน้ำกับครอบครัว...แต่ ผมคิดว่าเล่นน้ำสักพักแล้วค่อยเดินมาสวัสดีลุงแก่...ก็ได้...


        น้ำบริเวณหาดเทียนวันนี้ใส...น่าเล่นมากเลยครับ...จนลูกๆ และภรรยาทนไม่ไหว เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วต้องรีบวิ่งลงทะเล ผมก็อดรนทนไม่ไหวเหมือนกันเพราะความร้อนเลยขอลงไปสัมผัสน้ำทะเลหาดเทียนมั่ง...จะได้คลายร้อนและให้หายอยากจากความตั้งใจที่...จะมาเล่นน้ำหาดเทียนอีกครั้ง...



         
                 ผมขอลงเล่นน้ำทะเลให้หายร้อน...และดำดูหอยเม่นก่อน...ขึ้นมาค่อยไปหาลุงแก่...