วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ขึ้นเครื่อง...ครั้งแรกในชีวิต...แต่ต้องไปพบกับวาระสุดท้ายของอีกชวิต

       เช้ามืดวันที่ 26 พ.ค.2555  ผมตั้งนาฬิกาปลุก เวลาตี 3 ครึ่ง เพื่อตื่นขึ้นมาอาบน้ำ แต่งตัวเพื่อรอรถแท๊กซี่มารับจากพัทยา ไปส่งยังสนามบินสุวรรณภูมิ   เพื่อไปรอขึ้นเครื่องเดินทางไปยัง จังหวัด อุดรธานี เพื่อไปเยี่ยมตา ใน Flight No. FD 3360 ของสายการบิน Air Asia  ซึ่งจะออกเวลา 07:10 น.  ตั๋วเครื่องบินดังกล่าว น้าหน่อย(ลูกสาวตาคนเล็ก) ได้จองไว้ให้เรียบร้อยแล้ว  ผมมีความตื่นเต้นเล็กน้อย ที่จะได้ขึ้นเครื่องบิน เป็นครั้งแรกในชีวิต ยังนึกถึง นักฟุตบอลดังทีม อาร์เซน่อล และทีมชาติ ฮอลแลนด์ สมัยก่อนคือ เดนิส เบริกแครมส์ ถ้ามีโปรแกรมไปเตะประเทศไหนถ้าต้องขึ้นเครื่องบินไป เป็นต้องขอถอนตัวไม่ยอมไปเตะ เพราะเขากลัวความสูง  แต่ผมยังไม่ถึงขนาดเขาหรอกครับ แต่ก็มีความรู้สึกหวิวๆ นึกไปต่างๆนาๆ เพราะช่วงนี้ฝนฟ้า ยิ่งตกบ่อยๆอยู่ด้วย...
    ผมเดินทางจากพัทยาไปถึงสนามบิน...สุวรรณภูมิ  ประมาณ ตี 5 กว่าๆ  ก็ตื่นตา ตื่นใจ  กับแสงสี  และความใหญ่โตมโหฬาร ของสนามบินนานาชาติแห่งนี้พอสมควร แต่ก็ต้องเก็บอาการเดี๋ยวเขาจะมองเราว่าเป็นบ้านนอกเข้ากรุง   ผมเดินๆนั่งๆ รอ น้าหน่อย  ที่กำลังเดินทางจากบ้านที่อยู่แถวๆ คลอง 3 ปทุมธานีซึ่งจะเดินทางไปอุดรฯ ในเที่ยวบินเดียวกัน  เวลา 6 โมงกว่าๆน้าหน่อย ก็มาถึง และก่อนที่เราจะออกไปยังช่องผู้โดยสารเพื่อไปนั่งรอขึ้นเครื่อง ผมโดนตรวจซะละเอียดยิบเลยทั้งให้ถอดเสื้อถอดรองเท้า (เจ้าน่าที่คงจะคิดว่าผมเป็นผู้ก่อการร้ายมั๊งเห็นไว้ผมยาวและไว้หนวดรุงรัง) กว่าจะผ่านด่านได้ก็ทุลักทุเลน่าดู...

     และแล้วผมก็ได้ขึ้นมานั่งบนเครื่องบินเป็น ครั้งแรก ในชีวิต... น้าหน่อย เหมือนรู้ใจบอกให้ผมไปนั่งใกล้ๆหน้าต่าง จะได้มองวิวและเก็บภาพได้ถนัด  เมื่อถีงเวลา เครื่องบินก็วิ่ง เรื่อยๆ เหมือนรถทัวร์ออกไปยังลานบิน ผมก็เรียกไม่ถูกเหมือนกันว่าตอนเครื่องบินขึ้นเขาเรียกว่าอะไร...
น้องๆ แอร์โฮสเตส มาแนะนำวิธีใช้อุปกรณ์ต่างๆ



      แหม๋...อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะสำหรับใครที่ขึ้นเครื่องบินเป็นประจำผมขอสัก entry เหอะขอระบายความรู้สึกหน่อย และโชว์ภาพสักนิด เพราะมันเป็นภาพที่งดงามจริงๆเมื่อได้ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า จะว่าผมเชย หรือ เฉิ่ม ก็ยอม ฮ่ะ ฮ่า...
      วันนั้นหัวเครื่องบินเชิดขึ้นสู่ท้องฟ้า จากสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นเช้าที่อากาศสดใสมีเมฆบ้างเล็กน้อย ผมชะโงกหน้ามองผ่านกระจกเครื่องบินอย่างตื่นเต้น ชะโงกกระจกตรงตัวเองไม่พอ ไปแย่ง ชะโชกช่องกระจกด้านหลังอีกเมื่อเครื่องบินตีวงและภาพที่มองอยูเปลี่ยนทิศทาง...


     
        ผมนั่งมองทิวทัศน์บนท้องฟ้า โดยไม่ยอมให้ละสายตา และก็ลองสังเกตุดูว่าถึงตรงไหนแล้วเผื่อเจอสถานที่คุ้นๆตา เพราะผมท่องเที่ยวในแผนที่ของ google บ่อยๆ
      เสียงนักบินประกาศถึงสภาพอากาศแว่วๆว่าที่อุดรฯ มีเมฆมากก็รู้สึกใจแป่ว เหมือนกัน กลัวเขาจะมองไม่เห็นสนามบินตอนลง...
                                                น้องๆแอร์โฮสเตส ขายของที่ระลึก






      ในขณะที่เครื่่องบิน...วิ่งไปบนท้องฟ้าเรื่อยๆผมก็ชมวิวไปเรื่อยๆโดยไม่ละสายตาจากกระจกเหมือนเด็กๆดีใจเมื่อได้ขึ้นชิงช้าสวรรค์อย่างไงอย่างนั้นแหละครับ...ชมวิวได้ไม่นานแค่ช่วงเคี้ยวหมากแหลก(ภาษาหนังพระนเรศวร) ก็ถึงสนามบินอุดรธานีซะแล้ว...ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 15 นาที เท่านั้นเองๆช่างรวดเร็วซะจริงๆ...



               ทีแรกพอเข้าเขตจังหวัดอุดรฯ ก็หวาดเสียวเหมือนกันนะเพราะเมฆดำๆ เยอะมาก





    
     เราเดินทางมาถึงสนามบิน อุดรธานี ประมาณ 8 โมงเช้า...พอเดินออกจากสนามบินก็มี ครูโจ้ ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับผมมารอรับอยู่ที่สนามบินแล้ว น้าหน่อย เลยสั่งให้ ครูโจ้ พาไปกินแหนมเนือง ร้านดังประจำ จังหวัดอุดรฯ ก่อนเลยเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะเดินทางไปเยี่ยมตาที่บ้านสวน ซึ่งห่างจากตัวเมืองอุดรฯ 12 กิโลเมตร

                          น้าหน่อยและครูโจ้รับประทานแหนมเนือง ร้านดังจังหวัดอุดรธานี




                                                  ร้านแหนมเนือง จ.อุดรธานี


     พอรับประทานอิ่มหนำสำราญ...ก็ได้เวลาเดินทางเข้าไปเยี่ยมตาที่บ้านสวน  พอเข้าไปถึงก็เจอกับน้องตา คือยายแก้วที่มาจาก จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเดินทางมาเยี่ยมตาตั้งแต่เมื่อคืน และญาติพี่น้องอีกหลายคน...ผมขอบอกก่อนนะครับว่า ตาไม่ได้ป่วยแต่ท่านชราภาพมากแล้วคืออายุถึง 95 ปี แต่ 2-3 วันก่อนเดินทางไปเยี่ยมท่าน  ตาท่านไม่ยอมเดิน ทานอาหารไม่ได้ และชอบนอนเพ้ออะไรแปลกๆ บอกว่า มีคนมารอรับบ้าง ถามหาญาติพี่น้อง ลูกหลาน  ทางน้าอีกคนที่ดูแลท่านอยู่คือ น้าแดง จึงโทรไปบอกและเล่าอาการให้ฟัง...แล้วยังบอกอีกว่า ตาท่านรอ น้าหน่อย ลูกสาวคนเล็ก และผม ชาย ซึ่งเป็นหลานที่ตาท่านเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กๆ จากการบอกเล่า ตาจะถามเรื่อยๆว่าเรา สองคนมาหรือยัง...

                                                    ยายแก้ว น้องสาวตาในวัย 84 ปี




         ผมเดินเข้าไปเยี่ยมตา...ที่นอนอยู่บนเบาะ พร้อมน้าหน่อย  และยกมือสวัสดี ตา เหลือบ มองเราสองคนด้วยสายตาที่สดใส จะเห็นเฉพาะร่างกายเท่านั้นที่เหนื่อยล้า เพราะวัยชราญาติๆทดลองถามตาว่า จำได้มั๊ยว่าใครมาเยี่ยม ตาจำได้ และ ยังแซวผมด้วยว่า ผมยาว ให้ไปตัดซะ หนวดก็หงอกแล้วนะ  แล้ว น้าหน่อย ยังส่งมือให้ตาลองบีบดู ตามีแรง บีบมือ น้าหน่อย แรงมาก เหมือนดังคนปกติ ลูกหลานที่มาเยี่ยมตาเตรียมตัวลากลับ และ ได้เอาเงินใส่มือให้ตา แล้วลองถามตาว่าเป็นแบ๊งค์อะไร ตาเหลือบมองแบ๊งค์ และตอบถูก ผมเลยบอกตาว่า ตาคงจะอายุยืนถึง 100 ปี แน่ เพราะยังแข็งแรงและคุยได้ ทุกคนดีใจ ที่เห็นตาสดใส และพูดคุยได้...
       น้าแดง ที่เป็นคนคอยดูแลตาบอกว่าตายังไม่ได้อาบน้ำและเปลี่ยน แพมเพิท เลย ผมและน้าแดง จึงช่วยกันพาตาไปอาบน้ำ เช็ดตัว ปะแป้ง เปลี่ยน แพมเพิท และเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ช่วงนี้ตาคงเหนื่อยมากเพราะอยู่ในวัยชรามากแล้ว ท่านนอนพักเหนื่อยได้สักพักท่านก็สิ้นลมอย่างสงบ  โดยไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใดแต่เป็นเพราะอายุขัยของท่านเอง คนอีสานจะบอกว่า"เหมือนใบไม้แมื่อแก่เต็มที่ก็ล่วงจากขั่วเอง" ไม่น่าเชื่อตาท่านรอ น้าหน่อย และ ผม ชายสามหยด จริงๆนั้นแหละ...ตายังสั่งไว้ด้วยว่าให้ผมบวชให้ด้วยถ้าท่านเสียชีวิต...ครับผมทำตามที่ตาสั่งไว้แล้ว ผมขอให้ดวงวิญญาณของคุณตา "แสวง อนนทสีหา" จงไปสู่สุขติ ผมเชื่อว่า ท่านเป็นคนที่มีบุญเพราะท่านเสียชีวิตด้วยโรคชรา และไม่เคยเจ็บป่วยเลยจนอายุ 95 ปี



1 ความคิดเห็น: